พระสมเด็จพิมพ์หลังภาษาจีน สมเด็จหลังอักษรจีนมงคล วิธีบูชาสมเด็จหลังอักษรจีนมงคล สะสมสมเด็จหลังอักษรจีนมงคล
พระสมเด็จหลังภาษาจีน พระสมเด็จหลังภาษาจีน จารึก ประทับด้านหลังองค์พระสมเด็จ อ่านออกเสียง Hu (แทนคำว่า) ขรัว แปลว่า โต หรือ ใหญ่ แปลว่าครู-อาจารย์,ผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง พระอาจารย์ขรัวโต หรือ สมเด็จฯโตพรหมรังสี ชื่อ พระ: พระสมเด็จด้านหลังประทับชื่อ หรือ พระอาจารย์ขรัวโต(สมเด็จฯโต พรหมรังสี)
สมเด็จหลังอักษรจีนมงคล
พระสมเด็จวัดระฆัง ด้านหลังอักษรจีนมงคล ด้านหลังองค์พระ อ่านว่า ครั่วต้าซือ เป็นชื่อพระสมเด็จโต อักษรแปลความได้ว่า " ขรัวโต " พระสมเด็จวัดระฆัง ด้านหลังอักษรจีนมงคล ตัวอักษรภาษาจีนดูมีพลังเข้มขลังดุจดังพญามังกรผู้ยิ่งใหญ่
พระสมเด็จวัดระฆัง หลังอักษรจีนมงคล องค์พระมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบถึงความเก่า พิเศษหลังภาษาจีนมงคลสร้างเพื่อแจกจ่ายและเป็นของกำนัลให้แก่ชาวจีนเยาวราชที่มีความศรัทธาในองค์สมเด็จโตฯ และเป็นขวัญกำลังใจแก่พ่อค้าชาวจีนในเมืองไทยที่เดินทางไปค้าขายยังเมืองจีนและประเทศอื่นๆ
พระสมเด็จวัดระฆัง ด้านหลังอักษรจีน ด้วยความศรัทธาของประชาชนจำนวนมากที่มีต่อพระพุทธศาสนาและองค์หลวงปู่โตฯ ได้มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนฯ ที่พอจะมีฝีมือทางช่างบ้างและด้วยศรัทธาด้วย มาช่วยกันเอามวลสารต่างๆที่เป็นสูตรเนื้อพระวัดระฆังไปช่วยกันกดพิมพ์ที่วัง ที่บ้านของตัวเอง เสร็จแล้วนำกลับมาให้หลวงปู่โตทำพิธีต่อไป การสร้างพระจำนวนมากให้พอ ๘๔๐๐๐ องค์
เพื่อเป็นการสีบต่อพระพุทธศาสนา ในการสร้างพระนั้นได้มีการทำสัญญลักษณ์ต่างๆเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าใครเป็นผู้สร้าง เช่น
โค๊ตระฆัง หลังร่องสวน หลังหมอน หลังรังผึ้ง(ขนม) หลังภาษาจีน หลังยันต์ และอื่นๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็น บางพิมพ์บางสัญญลักษณ์ถูกเก็บรักษาโดยคนบางกลุ่ม เมื่อหลวงปู่โตฯทำพิธีเสร็จแล้วขออนุญาตนำมาแจกจายญาติมิตรคนสนิทและบริวาร ที่เหลือเก็บรักษาไว้ใน หีบ กำปั่น โถเบญจรงค์ ฯ
ถึงเวลาประกาศเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์หลวงปู่โต พระสมเด็จฯที่ถูกเก็บรักษาไว้ในที่ต่างๆได้ทยอยออกมาให้ผู้มีบูญวาสนาได้ครอบครองและบูชาติดตัว ให้มีจิตระลึกรู้และไม่ตกอยู่ในความประมาท ให้พ้นมหาภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้แลเห็น โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่รักษาศีลกินเจได้เห็นเป็นดังนั้นแล้วได้บอกต่อๆกันมา ทำให้ขณะนี้มีชาวจีนจำนวนมากได้ตามสืบค้นหาพระสมเด็จวัดระฆัง และพระกรุต่างๆฯ
หลังภาษาจีนสร้างปี พ.ศ. 2411 ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์
พระสมเด็จวัดระฆัง ด้านหลังอักษรจีนมงคล เพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรมไทยให้กว้างไกลไปยังต่างแดน(คนจีนที่มาค้าขายเมืองไทยพกพาพระกริ่งจีนติดตัวมาด้วย) เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โตพรหมรังสีให้นึกถึงพญามังกรที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวจีน เจ้าประคุณท่านฯจึงสร้างพระสมเด็จ โดยด้านหลังมีอักษรจีนมงคล, รูป 12 นักษัตร เพื่อแจกจ่ายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวจีนที่อพยพมาตั้งหลักปักฐานที่เมืองไทยที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและองค์หลวงปู่โต ได้พกพาติดตัวเวลาไปค้าขายที่เมืองจีนและต่างแดน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พวกเขาเหล่านั้น ณ.ปัจจุบัน ชาวจีนรู้จักพระเนื้อผงสี่เหลี่ยมชิ้นฝักที่เรียกว่าพระสมเด็จวัดระฆังมากขึ้น ในกลุ่มชาวจีนที่มีคนปฎิบัติธรรมส่วนหนึ่งสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ และล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงมีการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย ความเสียหายนี้จะเกิดขึ้นทุกมุมโลก(ผู้ปฎิบัติถามสิ่งศักดิ์ว่า ทำยังไงถึงจะพ้นภัยนี้ได้) คนดีมีศีลธรรมส่วนหนึ่งจะพ้นจากภัยพิบัตินี้ ถ้าใครได้สวดมนต์ภาวนาอยู่เป็นประจำและมีพระสมเด็จวัดระฆังพกติดตัวอยู่ก็จะพ้นจากภัยพิบัตินั้นได้ประมาณหนึ่ง หรือพระกรุอายุหลายร้อยปี เรื่องนี้มีการบอกต่อในผู้ปฏิบัติธรรมและผู้ใกล้ชิด ทำให้ชาวจีนทั้งจากแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวันหรือแม้แต่สิงคโปร์ ทำการสืบเสาะและแสวงหาพระสมเด็จวัดระฆังมาบูชาและพกพาติดตัว เวลานี้พระสมเด็จวัดระฆังไปอยู่ในประเทศเหล่านี้จำนวนหนึ่งและประเทศที่ว่านี้ก็ยังมีความต้องการพระสมเด็จฯอีกมาก ทั้งเซียนและนายหน้าพยายามหาไปให้คนกลุ่มนี้เพราะได้ราคาดี
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าเช่น "องค์เสี่ยหน่ำ" "อย่าง "องค์ลุงพุฒ" "องค์ขุนศรี" "องค์เล่าปี่" องค์กวนอู" "องค์บุญส่ง" "องค์เจ้แจ๋ว" "องค์เจ๊องุ่น" "องค์ครูเอื้อ" "องค์เสี่ยดม" และ "องค์มนตรี" ล้วนมีการเช่าการขายกันองค์ละหลายสิบล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆังฯ 5 องค์ 250 ล้าน! องค์ลุงพุฒ – องค์ครูเอื้อ –องค์น้ำหมาก – องค์เสี่ยหน่ำ - องค์ขุนศรี
"พ.อ.(พิเศษ)ประจน กิตติประวัติ" อดีตนายทหารประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด หรือ "ตรียัมปวาย" ได้จัดทำเนียบชุดพระเครื่อง "เบญจภาคี" ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2495 โดยเมื่อแรกเริ่มยังคงเป็นเพียง "ไตรภาคี" คือ มีเพียง ๓ องค์เท่านั้นประกอบด้วย "พระสมเด็จ" วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นองค์ประธาน ซ้ายขวาเป็น พระนางพญา จ.พิษณุโลก และพระรอดจ.ลำพูน หลังจากนั้นจึงได้ผนวก "พระกำแพงซุ้มกอ" กำแพงเพชร และ "พระผงสุพรรณ" สุพรรณบุรี เข้าเป็นชุดเบญจภาคี สุดยอดปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย จากค่านิยมกันในหลักพันบาท และทะยานเข้าสู่หลักล้านในปัจจุบันนี้
ทั้งนี้หากเมื่อมองย้อนกลับไปในครั้งนั้น พระเครื่องที่ได้รับความนิยมชมชอบมากเป็นพิเศษแล้ว คือ พระเครื่องที่มีพุทธคุณในด้าน "คงกระพันชาตรี" ซึ่งการจัดทำทำเนียบเบญจภาคีนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความนิยมพระเครื่องทั้ง 5 องค์ ในชุดดังกล่าว อันล้วนเป็นพระเครื่องที่มีราคาการเช่าที่สูงๆ ทั้งสิ้น
"พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม" เป็นพระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นผู้สร้างขึ้น กล่าวกันว่าท่านเริ่มสร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2409 ภายหลังจากโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระสมเด็จพุฒาจารย์ จึงเรียกขานพระเครื่องที่สร้างขึ้นว่า "พระสมเด็จ" และได้สร้างเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2415 โดยได้แจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมที่มาเยี่ยมเยียน และเมื่อครั้งออกบิณฑบาตในตอนเช้า ครั้นหมดก็สร้างใหม่ ปลุกเสกด้วยคาถาชินบัญชรที่ท่านได้มาจากเมืองกำแพงเพชรผู้แกะพิมพ์ถวาย คือ หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองในราชสำนัก
พระสมเด็จวัดระฆัง มีหลายพิมพ์ด้วยกัน แต่ที่พิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพิมพ์พระทั้ง 5 พิมพ์ คือ พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์พระประธาน มีทั้งเนื้อละเอียด เนื้อหยาบ เนื้อแก่น้ำมันตังอิ๊ว หรือเนื้อสังขยา และเนื้อแก่ปูนลักษณะ พิมพ์ทรง เป็นรูปสมมุติของพระพุทธเจ้านั่งในระฆังคว่ำ องค์พระแลดูนั่งเอียงไปทางขวา ปลายพระเกศสะบัดเอียงไปทางซ้าย ในบางองค์อาจทะลุซุ้มด้านบน แลเห็นหูพระด้านซ้ายเป็นแนวจางๆ ยาวลงมา ไหล่ซ้ายดูยกสูงกว่าไหล่ขวา มองเห็นปลายพระบาท ยื่นเล็กน้อย ฐานขั้นล่างสุดเหมือนสี่เหลี่ยมคางหมู
คาถาชินบัญชร สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
ตั้งนะโม 3 จบ >>>
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
พระคาถาชินบัญชร ฉบับย่อ
ชิ นะ ปัญ ชะ ระ ปะ ริ ตัง มัง รัก ขะ ตุ สัพ พะ ทา (ภาวนา 10 จบ)
พระคาถาชินบัญชร ฉบับเต็ม
ก่อนสวดให้นึกถึง หลวงปู่โต พรหมรังสี แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ว่า
ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภธะนัง
อัตถิกาเย กายะ ญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
เริ่มสวดบทพระคาถาชินบัญชร 15 บท
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
คาถาชินบัญชร ควรจะเริ่มสวดในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นวันครูและให้เตรียมดอกไม้ 3 สี หรือดอกบัว 9 ดอก หรือดอกมะลิ 1 กำ จุดธูป 3 5 ถึง 9 ดอก เทียน 2 เล่ม จากนั้นให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยโดยการตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จากนั้นตั้งจิตนึกถึงสมเด็จโต
หากสวดชินบัญชรได้ควรสวดหนึ่งจบ ก่อนที่จะนำพระสมเด็จติดตัวไป ให้ทำดังนี้ เมื่อยกสร้อยขึ้นจะคล้องคอ องค์พระอยู่ในอุ้มมือพนมมือแล้วท่องคาถาอาราธนาดังต่อไปนี้ " โอมมะศรี มะศรี พรมรังสี นามะเตโช มหาสมโณ มหาปัญโญมหาลาโภ มหายะโส สัพพะโสตถี ภะวันตุเม"