พระท่ากระดาน เปิดบูชาพระท่ากระดาน วิธีบูชาคาถาพระท่ากระดาน การบูชาพระท่ากระดาน ความเชื่อ ผู้บูชาพระท่ากระดาน
พระท่ากระดาน ฉายา ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง
ฟัน แทง ยิงไม่เข้าคงกระพันชาตีจึงเป็นที่แสวงหาห้อยคอบูชายิ่งนัก ทั้งยังสามารถประคองชีวิตผู้บูชาที่ไม่ทำชั่วหมั่นทำความดีไว้ไม่ให้ตกต่ำสำหรับผู้ศรัทธาพระท่ากระดาน เป็นที่เลื่องลือมาแต่โบราณทั้งแคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี
พระท่ากระดาน พระกรุพุทธศิลปะอู่ทองบริสุทธิ์อันงดงามมาก พระท่ากระดานความเชื่อ ผู้บูชาพระท่ากระดาน ห้อยบูชาพระท่ากระดาน มักจะมีอันต้องแคล้วคลาดจากภัยอันตรายอยู่เสมอ ใครทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือภูติผีหรืออุบัติเหตุต่างๆมักจะแคล้วคลาดจากภัยต่างๆที่ได้พบเจอมีประสบการณ์มากจากผู้บูชาพระท่ากระดาน
พระท่ากระดานนั้นในสมัยก่อนชาวบ้านมักเรียกกันว่า "พระเกศบิดตาแดง" คงเนื่องด้วยพระท่ากระดานนั้นส่วนมากพระเกศมักจะบิดคดงอไม่ตั้งตรง เนื่องจากเป็นพระเนื้อชินตะกั่วและถูกบรรจุทับถมไว้ในกรุเป็นเวลานาน ส่วนที่เป็นพระเกศจึงคดงอตามที่ถูกกดทับ ส่วนคำว่าตา แดงนั้นก็เนื่องจากองค์พระเป็นเนื้อตะกั่วและมีสนิมแดงจัดเกือบทุกองค์และที่พระเนตรก็เป็นแบบพระ เนตรเนื้อคือ มีดวงพระ เนตรนูนเด่นเห็นได้ชัด ชาวบ้านในสมัยก่อนจึงตั้งชื่อตามลักษณะเด่นที่เห็น ต่อมาเมื่อคนต่างถิ่นเห็นพระท่ากระดานและรู้ที่มาว่า พบที่ตำบลท่ากระดาน กาญจนบุรี จึงเรียกกันใหม่ว่า "พระท่ากระดาน" ตามชื่อตำบลที่พบพระนั้น
วัดท่ากระดาน
ตั้งอยู่ใน ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบัน เป็นวัดร้าง เป็นสถานที่อยู่บริเวณหน้าถ้ำทางตอนเหนือของเมืองท่ากระดานเก่าขึ้นไปตามลำน้ำ ซึ่งเดิมเป็นวัดเก่าแก่ เนื่องจากมีศาสนวัตถุที่ปรักหักพังและพระเจดีย์เป็นจำนวนมาก และจากวัตถุโบราณที่พบ เช่น บาตรขนาดเขื่อง เตาดินเก่าๆหลายเตา ที่สำคัญ คือ ปรากฏมีสนิมแดงตกอยู่เรี่ยราดบริเวณเตาและพบพระท่ากระดานทุกๆพิมพ์อีกด้วย เป็นแหล่งสร้างพระท่ากระดาน เมืองท่ากระดานมีวัดสำคัญ 3 วัดคือ วัดเหนือ (วัดบน) วัดกลาง (ปัจจุบันชื่อ วัดท่ากระดาน) และวัดล่าง
"วัดท่ากระดาน หรือ วัดกลาง" อันเป็นวัดสำคัญ 1 ใน 3 วัดของ "เมืองท่ากระดาน" เมืองเก่าแก่เมืองเดียวริมแม่น้ำแควใหญ่ที่มีความสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยาเคียงคู่กับเมืองกาญจนบุรีเก่า และเมืองไทรโยค คือเป็นเมืองที่มีเจ้าปกครอง อีกทั้งเป็นเมืองหน้าด่านที่ต้องสู้รบกับกองทัพพม่าที่ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ในทุกคราว แต่ปัจจุบันลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ จึงถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2438 และลดฐานะเป็นหมู่บ้านชื่อ "บ้านท่ากระดาน" ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานศึกษา โรงเรียนชุมชนท่ากระดาน และตำบล อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
พ.ศ. 2495 ได้มีการขุดค้นหาโบราณวัตถุกันเป็นการใหญ่และได้พบพระพิมพ์เนื้อตะกั่วสนิมแดงที่วัดทั้งสามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่วัดกลาง ซึ่งเรียกชื่อเต็มว่า "วัดท่ากระดาน" นั้น ได้ปรากฏพระพิมพ์เนื้อตะกั่วสนิมแดงที่สนิมแดงงามจัดและปิดทองมาแต่ในกรุทุกองค์ กอปรกับวัดนี้ตั้งอยู่ในส่วนกลางของเมืองท่ากระดานเก่าพอดี ชาวบ้านจึงเห็นเหมาะสมที่จะเรียกพระพิมพ์นี้ตามชื่อวัดว่า "พระท่ากระดาน"
พระท่ากระดาน มีพุทธลักษณะเค้าพระพักตร์เคร่งขรึมน่าเกรงขาม แข้งเป็นสัน และพระหนุแหลมยื่นออกมา ลักษณะเหมือน "พระอู่ทองหน้าแก่ อันเป็นพุทธศิลปะสมัยลพบุรี และด้วยอายุการสร้างเกินกว่า 500 ปี พระท่ากระดานส่วนมากจึงเกิด สนิมไข และสนิมแดง ขึ้นคลุมอย่างหนาแน่นและส่วนใหญ่จะลงรักปิดทองมาแต่เดิม ดังนั้นข้อพิจารณาเบื้องต้นในการศึกษา "พระท่ากระดาน" ก็คือ สภาพสนิมไข สนิมแดง และรักเก่า ทองเก่า
คาถาบูชาพระท่ากระดาน
ตั้งนะโมสามจบ นะ มะ ยะ พะ ทะ นุ มุ ยุ พุ ทุ นิง มิง
ยิง พิง ทิง นัง มัง ยัง พัง ทัง
ผู้สร้างพระท่ากระดาน
เข้าใจว่าคือ" ฤาษี" ไม่ใช่พระสงฆ์ คงเป็นฤาษีโบราณที่บำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำ เพราะ จะพบพระในถ้ำต่างๆของเมืองกาญจนบุรีและ จากแผ่นจารึกลานทองของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและ ของสุโขทัยซึ่งมีคาบเกี่ยวกับอู่ทองคือจารึกแผ่นลานเงินของวัดบรมธาตุ กำแพงเพชร กล่าวว่า การสร้างพระเครื่องของบรรดาพระฤาษีทั้งหลาย11ตน มีฤาษีที่เป็นใหญ่ 3 ตน คือ ฤาษีพิลาลัย ฤาษีตาไฟและ ฤาษีตาวัว และ ผู้ที่สร้างพระท่ากระดานคือ "ฤาษีตาไฟ" โดยการอาราธนาของเจ้าเมือง ท่ากระดาน เมื่อสร้างแล้งวก็นำมาบรรจุในอารามสำคัญ ในเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ และ เมืองกาญจนบุรีในยุคนั้นนั่นเอง
ราคาค่านิยมพระท่ากระดาน
จัดเป็นพระในตระกูลสูงสุดในวงการ สวยๆ เกศยาวๆ การเช่าหาทะลุหลักล้านบาทไปอย่างง่ายดาย ทั่วไปก็ราคาแสนกลางๆแทบทั้งสิ้น พระของแท้ สมบูรณ์ หายากมาก มักอยู่ในรังใหญ่ๆหมดแล้ว พวกเซียนใหญ่เนื้อชินจะทราบกันดีว่า ที่เห็นกันมากมายในสนามนั้น หาตัวจริงแทบไม่เจอครับ
พระองค์นี้เป็นพระท่ากระดานที่ มีสภาพสวย สมบูรณ์มากองค์หนึ่ง คอสมบูรณ์มาก ได้เอกเรย์ผ่านการตรวจสอบมาอย่างถี่ถ้วน และ เป็นพระกรุเก่า นิยม คือ "กรุศรีสวัสดิ์" ครับ ด้านหลังก็เป็นไปตามตำราที่ว่าคือ" หลังจะเป็นร่องแอ่งลึก" พระแบบนี้มองปั๊บก็แท้ และ ดูได้ไม่ยากเลยครับ สมกับคำว่า "พระเกศบิด ตาแดง แข้งเป็นสัน"