"พระพุทธบุษยรัตน์ จักรพรรดิ์พิมลมณีมัย" พระเเก้วผลึกใสคู่กรุงรัตนโกสินทร์
พระพุทธบุศยรัตน์ พระเเก้วขาว พระแก้วผลึกขาว “จันทรเทวบุตรได้แก้วผลึกขาวงดงามมาจากพระอรหันต์ แล้วให้พระวิษณุกรรมทรงสร้างเป็นพระพุทธปฏิมากร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 4 องค์ คือ ในพระนลาฏ พระเมาลี พระอุระและพระโอษฐ์”
มีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งที่ไม่ค่อยรู้จักกันนัก แต่มีความสำคัญเป็นที่ยิ่ง เรียกว่า "พระพุทธบุษยรัตน์ จักรพรรดิ์พิมลมณีมัย" มีความงดงามและล้ำค่ามาก พุทธลักษณะ เป็นแก้วผลึกสีขาวใสบริสุทธิ์ โบราณเรียก "บุษย์น้ำขาว" หรือ"เพชรน้ำค้าง" เดิมจึงเรียกกันว่า ‘พระแก้วผลึกขาว’ มีหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว 4 กระเบียด พระอัษฎางค์สูง 12 นิ้ว 2 กระเบียด ประทับนั่งแบบมารวิชัย ปรากฏในตำนานว่า พบที่แขวงเมืองจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ในถ้ำเขาส้มป่อยนายอน ข้างฝั่งแม่น้ำโขง คงจะมีผู้นำไปซ่อนเมื่อครั้งบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม เคยปรากฏเรื่องราวใน ‘พงศาวดารโยนก’ กล่าวถึงความว่า ... จันทรเทวบุตรได้แก้วผลึกขาวงดงามนี้มาจากพระอรหันต์ แล้วให้พระวิษณุกรรมทรงสร้างเป็นพระพุทธปฏิมากร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 4 องค์ คือ ในพระนลาฏ พระเมาลี พระอุระ และพระโอษฐ์
ต่อมา พระแก้วผลึกขาว ได้ตกมาอยู่ที่เมืองละโว้ จนพระนางจามเทวีเสด็จขึ้นไปสร้างนครหริภุญไชย (ลำพูน) จึงอาราธนาไปด้วย จวบจนถึงปี พ.ศ.2011 พระเจ้าติโลกราชจึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่นานถึง 84 ปี ต่อมาในปี พ.ศ.2095 พระเจ้าไชยเชษฐาขึ้นครองเชียงใหม่ก่อนที่จะเสด็จไปครองนครหลวงพระบาง จึงอาราธนา ‘พระแก้วผลึกขาว’ และ ‘พระแก้วมรกต’ ไปประดิษฐานยังหลวงพระบางด้วย จนเมื่อกองทัพพม่ายกมาตีลาวพระแก้วผลึกขาวก็สาบสูญไปนับตั้งแต่บัดนั้น
กาลเวลาผ่านไป มีพรานป่าไปพบและนำมาถวายเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ และเมื่อกรุงรัตนโกสินทร์มีอำนาจเหนือลาวในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) จึงอาราธนามายังกรุงเทพมหานคร โดยทรงหาเนื้อแก้วผลึกสีขาวมาเจียรนัยเป็นปลายพระกรรณไม่ให้เกิดรอย และโปรดฯ ให้ช่างจัดทำฐานอย่างงดงาม ด้วยทองคำลงยาราชาวดีประดับเพชรพลอย ถวายฉัตร 9 ชั้น ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ข้างบูรพาทิศ ทรงสักการบูชาวันละ 2 เพลา มิได้ขาด
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงบูรณะโดยเพิ่ม เพชร พลอย และถวายฉัตรเพิ่มเป็นกลาง ซ้าย และขวา แล้วถวายพระนามว่า “พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย” ฉลองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พร้อมทำพิธีฉลองสมโภช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ.2404 และทรงสร้างพุทธรัตนสถาน ประดิษฐานองค์พระในพระบรมมหาราชวัง ต่อมามีการเสาะหาแก้วผลึกขาวให้ช่างเจียรนัยสร้าง ‘พระพุทธบุษยรัตน์องค์น้อย’ ขึ้นอีกภายหลัง
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ได้อัญเชิญกลับมาประดิษฐานยังพระพุทธรัตนสถานอีกครั้งหนึ่ง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้อัญเชิญ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย กลับไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต จวบจนปัจจุบัน
อีกที่มาหนึ่ง
พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย องค์นี้ สันนิษฐานว่า คือพระแก้วขาว ซึ่งปรากฏเรื่องราวในพงศาวดารโยนกความว่า พระอรหันต์ได้แก้วขาวมาจากจันทรเทวบุตร จึงขอให้พระวิษณุกรรมแกะสลักเป็นพระพุทธรูป แล้วบรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ไว้ที่พระเมาลี พระนลาฏ พระอุระ และพระโอษฐ์ พระแก้วขาวนี้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้ จนกระทั่งพระนางจามเทวีอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองหริภุญไชย ในปี พ.ศ. 2011 พระเจ้าติโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ได้อัญเชิญจากเมืองหริภุญไชยไปเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานคู่กับพระแก้วมรกตเป็นเวลา 84 ปี
จากนั้นในปี พ.ศ. 2093 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงอัญเชิญพระแก้วขาว และพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ ไปประดิษฐานที่เมืองหลวงพระบาง และเมื่อย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปตั้งที่เวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2107 นั้น ไม่ปรากฏว่าได้อัญเชิญพระแก้วขาวไปพร้อมกับพระแก้วมรกตด้วย สันนิษฐานว่าคงเคลื่อนย้ายไปซ่อนไว้ ณ ถ้ำเขาส้มป่อย ดังความในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า
ลุจุลศักราช 1086 ปีมะโรง ฉศก มีพรานป่าคนหนึ่งนำความแจ้งต่อแสนท้าวพระยาว่า เห็นพรานทึงพรานเทือง ข่าบ้านส้มป่อย นายอน (คือที่เปนเมืองสพาดเดี๋ยวนี้) ได้พระแก้วผลึกมาเข้าใจว่าเปนรูปมนุษย์น้อย นายพรานเอาเชือกผูกพระสอให้บุตรลากเล่นจนพระกรรณบิ่นไปข้างหนึ่ง ครั้นความทราบถึงเจ้าสร้อยศรีสมุท จึงให้แสนท้าวพระยาไปเชิญรับพระแก้วผลึกแห่มาประดิษฐานไว้ ณ เมืองจำปาศักดิ์ มีการสมโภช 3 วัน แล้วให้พวกที่มาส่งพระแก้วนั้นตั้งอยู่บ้านขามเนิง เรียกว่า ข่าข้าพระแก้วมาจนบัดนี้ แลตั้งให้พรานทึง พรานเทือง เปนนายบ้าน ควบคุมพวกข่าบ้านส้มป่อยนายอนให้เปนส่วยขี้ผึ้งผ้าขาว ถวายพระแก้วต่อมา จนส่งพระแก้วลงมากรุงเทพฯ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้ข้าหลวงไปปลงศพเจ้าพระวิไชยราชขัตติยวงศา (เจ้าหน้า - เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ลำดับที่ 3) ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2354 ข้าหลวงได้เห็นพระแก้วผลึกสีขาว จึงมีใบบอกให้นำความกราบบังคมทูลถวายพระแก้วผลึก โดยตั้งขบวนแห่ตั้งแต่เมืองสระบุรี และมีการสมโภชตามหัวเมืองรายทางตลอดมาจนถึงกรุงเทพฯ
เมื่อเสร็จงานสมโภชที่ กรุงเทพฯ แล้ว โปรดให้ประชุมช่างจัดหาเนื้อแก้วผลึกเหมือนองค์พระ เพื่อเจียระไนแก้วติดปลายพระกรรณขวาที่แตกชำรุดให้สมบูรณ์ และขัดชำระองค์พระให้เป็นเงางามเสมอกัน กับพระราชทานพระราชดำริให้ช่างปั้นฐานต่อองค์พระตามที่พอพระราชหฤทัย แล้วหล่อด้วยทองสำริดแต่งให้เกลี้ยงหุ้มด้วยทองคำ ส่วนยอดพระรัศมีรับสั่งให้ช่างแผ่ทองคำหุ้มส่วนพระเศียร ดุนเป็นเม็ดพระศกต้องตามแบบแผนของพระพุทธรูป ต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดีประดับเพชร ใจกลางหน้าหลังและกลีบต้นพระรัศมี แต่เมื่อถวายสวมเครื่องทองส่วนยอดพระรัศมีแล้ว สีพระพักตร์ไม่ผ่องใสเหมือนสีองค์พระ จึงแก้ไขด้วยการเอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิ์แผ่หุ้มก่อนชั้นหนึ่ง ขัดเงินให้เกลี้ยงเป็นเงางามแล้วจึงสวมพระศกทองคำบนแผ่นเงิน ทำให้พระพักตร์ใสสะอาดขาวนวลเสมอกับพระองค์ แล้วรับสั่งให้ทำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อย สอดในช่องบนพระจุฬาธาตุเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ และนำทองคำลงราชาวดีขาวดำผังแนบพระเนตรให้งดงาม ทำฉัตรทองคำ 5 ชั้น ชั้นต้นเท่าส่วนพระอังสาลงยาราชาวดีประดับพลอย มีใบโพธิ์แก้วห้อยเป็นเครื่องประดับ แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระเจ้า (หอพระสุราลัยพิมาน) ด้านตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระเบญจาตั้งบุษบกสูง เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแล้ว ในการพระราชพิธีใหญ่ต่าง ๆ โปรดให้อัญเชิญพระแก้วผลึกสีขาวตั้งเป็นประธานในพิธีแทนพระแก้วมรกต
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2404 โปรดให้ช่างทำเครื่องประดับองค์พระและฐานพระพุทธรูปใหม่ พร้อมทั้งฉัตรกลางและซ้าย ขวา แล้วตั้งการฉลองสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2404 และถวายพระนามพระแก้วผลึกนี้ว่า “พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย” กับทั้งโปรดให้สร้างพระวิหารศิลาในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐาน พระราชทานชื่อว่า “พระพุทธรัตนสถาน”
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวชในปี พ.ศ. 2416 นั้น โปรดให้ผูกพัทธสีมาพระวิหารพระพุทธรัตนสถาน เป็นพระอุโบสถเพื่อทำสังฆกรรม หลังจากนั้นพระพุทธรัตนสถานก็เป็นสถานที่ทำพุทธบูชาของฝ่ายใน และเมื่อทรงสร้างพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตแล้ว โปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วจึงอัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ พระพุทธรัตนสถานตามเดิม
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ หอพระ พระที่นั่งอัมพรสถานสืบมาจนทุกวันนี้