พญาครุฑ เปิดบูชาพญาครุฑ พญาครุฑห้อยคอ พญาครุฑตั้งบูชา ประวัติ คาถาพญาครุฑ ผู้ที่อยากบูชาพญาครุฑต้องปฏิบัติอย่างไร

ครุฑ เป็นสัตว์กึ่งเทพในปกรณัมอินเดียและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์ มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ปกติอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"

ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ครุฑในทางพุทธศาสนา
ครุฑในทางพุทธศาสนาจัดเป็นเทวดาชั้นล่างประเภทหนึ่งภายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ

ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ โอปปาติกะ (เกิดแบบผุดขึ้น) ชลาพุชะ (เกิดในครรภ์) อัณฑชะ (เกิดในไข่) และสังเสทชะ (เกิดในเถ้าไคล) มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ และเนื่องจากเป็นเทวดาที่มีเศษกรรมทำให้อุบัติเป็นกึ่งเดรัจฉาน บางประเภทจับนาคกินเป็นอาหารไปตามสัญชาติญาณความเป็นเดรัจฉานของตนเอง(ไม่ปรากฏบันทึกข้อมูลชั้นต้นจากพระไตรปิฎกหมวดใดวรรคใดปรากฏเป็นหลักฐานอ้างอิงว่า ครุฑรวมถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกากลุ่มใดมีการผูกเวรแปลงกายเป็นนายนิรยบาลลงไปทำหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรกในนรก)
การใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์
ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
จากการที่ไทย ใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า ธงมหาราช เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
นอกเหนือจากการที่ตราครุฑปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า โดยได้รับพระบรมราชานุญาต ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน
ปัจจุบัน ต้องยื่นคำขอพระราชทานตราต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ
ประเทศอินโดนีเซียเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ใช้ครุฑ (Garuda) เป็นตราประจำแผ่นดิน โดยครุฑของอินโดนีเซียนั้นเป็นนกอินทรีทั้งตัว สายการบินประจำชาติอินโดนีเซียก็ใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์ คือสายการบิน Garuda Airlines
ครุฑราชการ
ครุฑที่ใช้ในส่วนราชการมีความแตกต่างกันออกไป ครุฑที่เท้าตั้งเฉียงจะใช้ในราชการกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ส่วนการใช้ในหน่วยงานอื่นจะใช้เป็นครุฑเท้างุ้ม
ในบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก ที่มุขหน้าปีกซ้าย-ขวา ประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นครุฑในแบบศิลปะร่วมสมัย ขนาดสูงเป็น 2 เท่าของคนจริง ผลงานของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี รูปปั้นครุฑทั้ง 2 นี้ จัดว่าเป็นรูปปั้นครุฑที่ได้เชื่อว่างดงามที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2486 ด้วยมีสรีระร่างกายที่บึกบึนกำยำ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ อีกทั้งในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่อาคารสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ถูกระเบิดทำลายเสียหาย แต่อาคารไปรษณีย์กลางแห่งนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ จนทำให้มีความเชื่อกันว่า เป็นเพราะครุฑทั้ง 2 ตนนี้บินไปปัดระเบิดไว้
บูชาพญาครุฑเสริมชีวิตให้รุ่งเรืองอย่างไร
อำนาจและข้อดีของการบูชาพญาครุฑ
เป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดเฉียบขาด
สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง สามารถปัดเป่าเสนียดจัญไร ภูติผีปีศาจไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้
เป็นสื่อนำความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน
ช่วยปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายทั้งปวง
ช่วยเสริมเสน่ห์เมตตามหานิยม
นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้
มีโชคมีลาภ ทำมาค้าขายดี กิจการเจริญรุ่งเรือง
สัตว์ร้าย งู อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ เพราะเกรงกลัวบารมีของพญาครุฑ

วิธีบูชาองค์พญาครุฑ
จุดธูป 5 ดอก เป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อเป็นการขออนุญาตินำองค์พญาครุฑมาประทับ ณ สถานที่แห่งนั้น
จัดเครื่องบวงสรวง โดยการจุดธูป 9 ดอก เทียน 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง ผลไม้ 1 หรือ 3 อย่าง ถั่วหรืองา 1 ถ้วย น้ำเปล่า 1 แก้ว
ทำการสวดอัญเชิญสรรเสริญองค์พญาครุฑด้วยบทสวดนี้
ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า
“คะรุปิจะ กิติมันตัง มะ อะ อุ
โอมพญาครุฑ รุจ รุจ แล้วรวย
นะได้เงิน นะได้ทอง นะเจริญ
นะมั่นคง นะได้ทรัพย์ นะเมตตา
อิติปิโสภะคะวาพระพุทธเจ้าสั่งมา
พญาครุฑล้างอาถรรพณ์
อิติคงเนื้อ อิติคงหนัง
พญาครุฑยันติ อภิปูยาจามิ.
พญาครุฑจะผุด มนุษย์จะเกิด
พุทธังแคล้วคลาด
ธัมมังแคล้วคลาด
สังฆังแคล้วคลาด
องค์พระพุทธเจ้าย่างบาท
นะปัจจะโยโหนตุ”