พระอุปคุตบัวเข็ม จกบาตร ขี่เต่ามังกร บูชาพระอุปคุตบัวเข็ม ความเชื่อพระอุปคุตบัวเข็ม พระอุปคุตครูบา

พระอุปคุตบัวเข็ม จกบาตร ขี่เต่ามังกร ปางนี้ เป็นพระอุปคุตบัวเข็ม คือเป็นปางที่ทรงสถิตย์ใจกลางสะดือทะเล พร้อมจกบาตรหยุดตะวัน
คือให้ผลทั้งทางความอุดมสมบรณ์ ลาภสักการะ วาสนาบารมี และการชนะศัตรูหมู่มารทั้งหลาย
พระอุปคุตแบบนั่งแหงนหน้า มือหนึ่งทำท่า “จกบาตร” (ล้วงบาตร) แบบนี้ เรียกว่า “พระอุปคุตจกบาตรพิชิตมาร” พระอุปคุต ท่านจำพรรษาอยู่ใต้ทะเล หรือ “สะดือทะเล” นานๆ จะขึ้นมาสู่โลกสักครั้งหนึ่ง ชาวไทยภาคเหนือภาคอีสาน รวมพม่าด้วย จะคอยใส่บาตรท่าน ในคืนวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เชื่อกันว่าท่านบิณฑบาตกลางคืน ว่าอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าความเชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดในวงการพระเครื่องจึงเรียกรูปหล่อรูปปั้น หรือพระพิมพ์ของท่านว่า พระบัวเข็ม เห็นจะต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจแล้วละครับ

ตำนานทางฝ่ายเถรวาท มิได้พูดถึงพระอุปคุตว่ามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีแต่ตำนานของฝ่ายมหายาน หรืออาจจะมาจาก “สรวาสติวาทิน” ก็ได้
ตำนานทางฝ่ายเถรวาท มิได้พูดถึงพระอุปคุตว่ามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีแต่ตำนานของฝ่ายมหายาน หรืออาจจะมาจาก “สรวาสติวาทิน” ก็ได้


พูดอย่างนี้ ถ้าไม่ขยาย ผู้อ่านก็อาจไม่กระจ่าง คืออย่างนี้ครับ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๓ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย เพราะพระเจ้าอโศกทรงทะนุบำรุงอย่างดี พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ อยู่ดีสบาย จึงมีพวกนอกศาสนา อันศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า “อัญเดียรถีย์” (แปลว่าผู้นับถือลัทธิอื่น) หวังอยากสบายบ้าง จึงพากันมาปลอมบวช คือบวชเอาเอง บวชมาแล้วก็ไม่ศึกษาปฏิบัติ แสดงธรรมผิดๆ ถูกๆ พระสงฆ์ผู้ทรงศีลรังเกียจ ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วย
พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาจะเห็นพระสงฆ์สามัคคีกันจึงรับสั่งให้มหาอำมาตย์คนหนึ่งไป “จัดการ” ให้เรียบร้อย เจ้าหมอนี่แทนที่จะจัดการให้เรียบร้อย กลับสร้างความวุ่นวาย คือแกตัดคอพระเถระ ที่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับพวกอัญเดียรถีย์ไปหลายองค์
พระเจ้าอโศกปรารถนาจะ “ล้างบาป” จึงให้ความสนับสนุนพระมหาเถระ อันมี “พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ” เป็นประธาน กระทำสังคายนา คือ “ชำระสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์” หลังสังคายนาเสร็จก็ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน ดังที่ประเทศสยามก็ได้มีพระโสณะกับพระอุตตระเดินทางมาสมัยโน้นเรียกว่า สุวรรณภูมิ ศูนย์กลางสุวรรณภูมิว่ากันว่าคือ นครปฐม ปัจจุบันนี้เอง
ในการทำสังคายนาครั้งนี้ไม่มีชื่อพระอุปคุต หรือมีแต่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ได้ แต่จากหลักฐานของฝ่ายมหายานนั้นมีแม้กระทั่ง พระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวณฺณรํสี) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มีกล่าวถึงพระอุปคุตเช่นกัน
ความว่า นาคถูกครุฑไล่ตาม นาคไปขอร้องให้พระสงฆ์ช่วย ไม่มีรูปใดมีฤทธิ์พอจะปราบได้ บังเอิญเณรน้อยรูปหนึ่งรับอาสาไล่ครุฑไปได้ จึงปรากฏชื่อเสียงโด่งดัง
พอ “พญาวสวัตตีมาร” จะมาทำลายพิธีเฉลิมฉลองพระเจดีย์ และสังคายนาครั้งที่สามที่พระเจ้าอโศกทรงอุปถัมภ์ เมื่อทราบว่าเณรน้อยมีฤทธิ์มาก จึงไปขอให้เณรน้อยช่วยปราบ เณรน้อยบอกว่าตนไม่สามารถปราบพญามารได้มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะปราบได้ และรับอาสาไปนิมนต์พระอุปคุตให้ขึ้นมาจากสะดือทะเลมาช่วย
เมื่อพระอุปคุตมาแล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลมิให้พญามารมารบกวนพิธี
มารบอกว่า อุปคุตอุปแค็ตข้าไม่กลัว ข้านี้คือพญามารนะจ๊ะ พระอุปคุตก็ปรามว่า “พระสงฆ์และพระราชากำลังทำสังคายนานะจ๊ะมารอย่ายุ่ง”