พระแม่โพสพ เทวีแห่งข้าวพันธุ์ธัญญาหาร บูชาพระแม่โพสพ รูปหล่อยพระแม่โพสพ

พระแม่โพสพ “เทวีแห่งข้าวพันธุ์ธัญญาหาร” ตามคติความเชื่อของไทย ที่เป็นที่เคารพสักการะและกราบไหว้บูชามาตั้งแต่ครั้งโบราณของชาวไทย ลาว และละแวกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะถือเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในด้านข้าวปลาอาหาร โดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าว มักบูชาเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกตามฤดูกาล

พระแม่โพสพ เป็นความเชื่อที่รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นภาคเทวสตรี บางตำราเรียก ‘พระไพรศรพณ์’ อันเป็นอวตารในภาคเทพบุตร ซึ่งมีตาราหลากหลายที่กล่าวถึงกำเนิดความเป็นมา มีอาทิ
“พระแม่โพสพ” เป็นการแบ่งภาคของ “พระพรหม” ด้วยทรงร้อนอาสน์ในความทุกข์ร้อนของมวลมนุษย์ เมื่อทรงตรวจดูก็พบว่า ประไลยโกฎิพระดาบส ได้บำเพ็ญตบะด้วยความมุ่งมั่น แต่ต้องหิวโหยอดอยากเพราะขาดอาหาร อยู่ในชายป่าริมแม่น้ำ จึงอวตารลงมาในนาม ‘พระไพรศรพณ์’ บันดาลให้เกิดฝนตกทั่วบริเวณอาศรม เมื่อฝนซาก็ปรากฏเมล็ดข้าวสาลีโปรยทั่วบริเวณ และเจริญเติบโตขึ้นเป็นรวงข้าวเหลืองอร่าม พระดาบสจึงได้เก็บเกี่ยวมารับประทานและแจกจ่ายแก่ชาวบ้าน บางส่วนให้เป็นอาหารของนกกา จากนั้นมาท่านก็ได้ดูแลรดน้ำต้นข้าวสาลีอย่างสม่ำเสมอ และได้แบ่งเมล็ดพันธุ์ไปให้ชาวบ้านนำไปเพาะปลูกจนมีข้าวสาลีมากมาย ทำให้ชาวบ้านพ้นจากความอดอยาก ประไลยโกฏิดาบสจึงบอกกล่าวให้ชาวบ้านบูชาบวงสรวง ‘พระแม่ไพรศรพณ์’ ด้วยความเคารพนับถือที่เป็นผู้ประทานข้าวให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ และเป็นความเชื่อสืบต่อมาจนปัจจุบัน
หรือบางตำรากล่าวว่า “พระแม่โพสพ” เป็นนางฟ้าอยู่ เป็นสนมเอกขององค์อัมรินทราธิราช บนสรวงสวรรค์ วันหนึ่งนำดอกไม้ไปถวายองค์อัมรินทราธิราช พระองค์ทรงมองเห็นว่า พระแม่โพสพซึ่งมีเนื้อเหลืองอร่ามดั่งทองนั้น ดูหม่นลง จึงให้นางเสียสละเนื้อให้แก่ชาวโลก นางจึงเสด็จลงมายังโลกโดยเก็บดอกไม้สวรรค์มาด้วย เพื่อมาหา ‘ฤาษีตาไฟ’ ซึ่งฤาษีตนนี้จะนั่งหลับตาตลอดเวลา และลืมตาเมื่อดอกไม้ในป่าหิมพานต์บานเพียงครั้งเดียว โดยจะออกจากฌานด้วย เพราะถ้าไม่ได้ออกจากฌานแล้ว เมื่อลืมตาไฟก็จะไหม้
เมื่อพระแม่โพสพเข้าไปหา ฤาษีได้กลิ่นดอกไม้สวรรค์จึงลืมตาโดยยังไม่ออกจากฌาน ปรากฏว่าไฟไหม้พระแม่โพสพจนเป็นเถ้า ฤาษีเห็นดังนั้นก็แปลกใจ จึงชุบขึ้นมาถามไถ่ พระแม่โพสพบอกวัตถุประสงค์แล้วกลายรูปเป็นเมล็ดข้าว พระฤาษีจึงใช้ไม้เท้าตีลงบนข้าวและอธิษฐานจิต ข้าวแตกกระจายเป็นแมลงเม่าบินลงมาตกทั่วภาคพื้นดิน มนุษย์จึงเก็บพืชพันธุ์ไปปลูกให้ลูกหลานกินสืบต่อมา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม พระไพรศรพณ์ หรือ พระแม่โพสพ นับว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงแก่มนุษย์โลกให้ได้มีข้าวพันธุ์ธัญญาหารในการดำรงชีพ การบูชาพระแม่โพสพนั้น มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเรื่อยมา แม้พระมหากษัตริย์ก็ยังบูชาคุณพระแม่โพสพทุกปี นับแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ในฤดูกาลทำนา ชาวนาก็จะมีการจัดพิธีเคารพบูชาและขอพรทุกครั้งในทุกๆ ขั้นตอน นอกจากนี้จะสังเกตได้ว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ คนไทยโบราณ เมื่อรับประทานข้าวเสร็จแล้วจะยกมือพนม เพื่อไหว้ขอบคุณพระแม่โพสพด้วย
ลักษณะทางศิลปะของ “พระแม่โพสพ” เป็นสตรีมีใบหน้างดงาม รัดเกล้าเพียงน้อยแล้วปล่อยสยาย ประดับด้วยอัญมณี และทองคำสีเหมือนรวงข้าว ประทับนั่งอยู่บนอาสนะอันงดงาม บ้างก็ประทับนั่งอยู่บนพาหนะเป็นหงส์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือพระขรรค์ อีกข้างถือรวงข้าว หรือตามจินตนาการของผู้สร้าง ซึ่งส่วนใหญ่วัดในแถบภาคกลาง โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในย่านที่เป็นทุ่งนา มักมีการจัดสร้าง “รูปบูชาพระแม่โพสพ” เพื่อให้ชาวนาได้เช่าไว้สักการบูชา ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่ไม่นิยมทำเป็นพระเครื่อง เนื่องจากผู้บูชาจะไม่นิยมอัญเชิญมาห้อยคอ เหมือนเทพองค์อื่น แต่จะบูชาไว้บนหิ้งเช่นเดียวกับการบูชานางกวัก นอกจากนี้ วัดหลายๆ แห่ง ยังนิยมจัดสร้าง รูปปั้นพระแม่โพสพ ไว้ในวัด เพื่อเป็นที่สักการบูชาของชาวนาในละแวกใกล้เคียงอีกด้วย
- พิธีกรรมบูชาแม่โพสพ
มีพิธีกรรมบูชาแม่โพสพ โดยทำ เฉลว ในหน้านา ด้วยมีความเชื่อว่าแม่โพสพจะบันดาลให้วิถีชีวิตของพวกเขาพออยู่พอกิน เป็นมิ่งขวัญของชาวนาในยุ้งฉาง
แม่โพสพมีลักษณะ "...เป็นหญิงสาวท่าทางอ่อนช้อยสวยงาม ภาพของนางที่สร้างขึ้นเพื่อเคารพบูชาเป็นท่านั่งพับเพียบ มือขวาถือรวงข้าวมือซ้ายถือถุงข้าว แต่งกายนุ่งผ้าถุงห่มผ้าสไบเฉียงแบบหญิงในวังสมัยก่อน" แม้พระแม่โพสพจะมีมาเนิ่นนานก่อนการรับศาสนาพราหมณ์แต่ถือกันว่าเป็นพระภาคหนึ่งของพระลักษมี บ้างก็ว่าเดิมเป็นชายาองค์หนึ่งของพระอินทร์ ชื่อ พระสวเทวี (เพื่อโยงชื่อโพสพเข้ากับชื่อชายาพระอินทร์ นั่นคือให้ 'สพ' แผลงมาจาก 'สว' ส่วน โพอาจจะมาจากชื่อ ไพสพ ของเทวดารักษาทิศอีสาน) บ้างก็ว่าคือท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ เทพเจ้าประจำทิศเหนือ ซึ่งเป็นคติที่รับมาจากอินเดีย โดยท้าวกุเวรนั้นเป็นบุรุษรูปร่างอ้วนท้วน พุงพลุ้ย ในพระหัตถ์ถือถุงเงิน ด้วยเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สิน แต่ไทยปรับเปลี่ยนมาเป็นเทวสตรี และกลายเป็นเทพเจ้าแห่งข้าว ปัจจุบันการบูชาแม่โพสพได้สร่างซาลงไป โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายมลายูที่เลิกการบูชาโพสพเพราะขัดกับหลักศาสนาอิสลาม ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงอุปถัมภ์พิธีกรรมโบราณนี้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 บางหมู่บ้านก็มีสตรีแต่งกายเป็นพระแม่โพสพช่วงเทศกาลหรืองานเฉลิมฉลองในท้องถิ่น

>>คาถาบูชาพระแม่โพสพ<< ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วว่าดังนี้ “โพสะวะโภชะนัง อุตตะมะลาภัง มัยหัง สัพพะสิทธิหิตัง โหตุ” ... มีท่านไว้ตั้งบูชา เหลือกินเหลือใช้ สมบูรณ์พูลผลทุกประการ