พระพุทธรูปยุคคันธราช พระพุทธรูปองค์นี้จัดว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามยิ่งองค์ หนึ่งเป็นศิลป ยุคคันธราช คาดว่าคงถูกจัดสร้างขึ้นก่อนคริสตกาล หรือราวศตวรรษที่ 1

คันธาระ พุทธศิลป์สวยที่สุดในโลก
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด ที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดี เกี่ยวกับการสร้างรูปเคารพ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีการทำเหรียญทองคำ เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับยืนมีอักษร Bactrian สลักคำว่า " Boddo " ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ไท แห่งราชวงศ์ไทแถน นามว่า พระเจ้ากนิษกะ พ.ศ.๖๐๐
พระเจ้ากนิษกะ ทรงเป็นศิษย์ของพระนาคารชุนอรหันตเถร และได้ทรงทำสังคายนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ คือมีพระอรหันต์เข้าร่วมเกินกว่า ๒๐,๐๐๐ รูป เป็นยุคสมัยที่มีพระอรหันต์มากที่สุดนับแต่หลังพุทธกาล

ยุคสมัยของพระองค์ นับว่าเป็นการเริ่มต้นสู่การพัฒนาเป็นภาพจำหลักหิน เล่าเรื่องพุทธประวัติ และพัฒนาจนเป็นพระพุทธรูปขึ้น เมื่อพุทธฝ่ายมหายานเจริญรุ่งเรืองต่อมา ในครั้งนั้น การสร้างรูปพระพุทธประวัติแบบนูนต่ำและนูนสูงที่นิยมกัน จะมุ่งเน้นให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา หรือถ่ายทอดพุทธจริยาวัตรมากกว่าที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นรูปเคารพเช่นการ สลักภูเขาเป็นพระยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก(บามิยัน ปัจจุบันถูกอิสลามตาเลบันระเบิดทำลายไปแล้ว)
พระพุทธรูปแบบ “คันธารราฐ” หรือบ้างก็สะกดว่า “คันธาระ” (Gandhara) เป็นพระพุทธรูปยุคแรก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอิทธิพลทางศิลปะแบบกรีก ในดินแดนตอนเหนือของอนุทวีปอินเดีย ซึ่งเคยตกอยู่ใต้การครอบครองของชาวกรีกตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียยกทัพมายึดครองไว้ได้

และศิลปะแบบกรีกก็ได้ส่งอิทธิพลต่อช่างฝีมือในการสร้างสรรค์งานประติมากรรมในศาสนาพุทธ ที่เดิมไม่นิยมการสร้างรูปเหมือนของพระพุทธเจ้า แต่มักใช้สัญลักษณ์แทนพระองค์เป็นหลัก และหันมาทำรูปเหมือนตามแบบนิยมของศิลปะกรีก กลายมาเป็นพุทธศิลป์ที่รู้จักกันดีในชื่อ “พระคันธารราฐ” ตามชื่อแคว้นที่ศิลปะแบบนี้เจริญรุ่งเรืองอยู่ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของประเทศปากีสถาน ในประเทศไทยเราก็มีพระพุทธรูปที่ถูกเรียกว่าเป็นพระคันธารราฐเหมือนกัน และมีความเก่าแก่กว่าสองร้อยปี ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปัจจุบันรักษาอยู่ในหอพระคันธารราฐ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ที่พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชื่อว่า “พระคันธารราฐ” ก็มิใช่เพราะ พระองค์นี้เป็นพระที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบคันธารราฐแต่อย่างใด
ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล บรรยายลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ องค์พระสูง ๖๕ ซม. มีลักษณะดังต่อไปนี้คือ รัศมีเป็นรูปบัวตูมหรือลูกแก้ว พระพักตร์ไม่ค่อยสวยงามมากนัก ครองจีวรตามแบบจีนพระหัตถ์ขวากวักเรียกเม็ดฝนพระพักตรซ้ายรองรับเม็ดฝน ประทับนั่งขัดสมาธิราบ”
ส่วนเหตุที่ได้ชื่อว่า “พระคันธารราฐ” นั้น ม.จ.สุภัทรดิศ อธิบายว่า น่าจะเป็นเพราะมีตำนานหนึ่งที่เล่าว่า ในแคว้นคันธารราฐมีพญานาคตนหนึ่งชื่อเอลาปัตตร์ หรืออรวาลเป็นผู้ให้น้ำ แต่แรกได้ทำให้เกิดน้ำท่วมในแคว้นนั้น แต่ต่อมาเมื่อหันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว จึงได้ให้น้ำทำให้แคว้นนั้นเกิดความสมบูรณ์พูนสุข “ด้วยเหตุนั้นจึงเรียกพระพุทธรูปปางขอฝนว่าพระคันธารราฐ”
ดังนั้นคำว่า “คันธารราฐ” ที่ใช้ในเมืองไทยแต่เดิมมาจึงหมายถึงปางพระพุทธรูป ไม่ใช่รูปแบบศิลปะที่ใช้ในการสร้าง ซึ่งก็ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระคันธารราฐในกรุงเทพฯ โดยองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งตำนานวัดเล่าว่าเป็นพระเก่าแก่สร้างในสมัยอยุธยา แต่ ม.จ.สุภัทรดิศ ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเป็นไปได้ที่พระองค์นี้จะสร้างเลียนแบบพระคันธารราฐที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1

ส่วนพระพุทธรูปในเมืองไทยที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะคันธารราฐจริงๆ นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้โปรดให้สร้างขึ้นเป็นพระยืนปางขอฝน หลังการเสด็จพระพาสประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2418 ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิชาการตะวันตกกำลังให้ความสนใจศึกษาศิลปะแบบคันธารราฐ และลงความเห็นว่าที่นี่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของการสร้างพระพุทธรูป
อ้างอิง: “พระพุทธรูปสำคัญ สมัยรัตนโกสินทร์”. ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2525
