พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม บูชาพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม คาถาและวิธีบูชาพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม
"นับเป็นพิมพ์ที่เรียกว่าเป็นพระพิมพ์ปราบเซียนพิมพ์หนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นพิมพ์ที่ดูยากมากที่สุด"
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม ลักษณะพิมพ์เป็นพระนั่งในระฆังคว่ำ หูเป็นแบบบายศรี มีเส้นแซมระหว่างใต้องค์พระ กับ ฐานชั้นบนสุด และ ใต้ฐานชั้นบนสุด กับ ฐานชั้นกลาง
ในห้าพิมพ์มาตรฐานสมเด็จวัดระฆัง เรียงตามลำดับค่านิยมเดิม พิมพ์ใหญ่ ทรงเจดีย์ ฐานแซม เกศบัวตูม ไปถึงพิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ฐานแซมนั้น มีคำเรียกขานคล้องจองของนักเลงรุ่นโบราณ “อกร่อง หูยาน ฐานแซม” คำ “ฐานแซม” คำท้าย มีความหมายถึงฐานะที่มีแต่เพิ่มพูน จึงมีค่านิยมเป็นที่หนึ่ง
ข้อสังเกตุ.....พิมพ์ฐานแซมบางองค์ คนตัดกรอบตั้งใจจะรักษาระดับตรง...ตัดชิดเส้นซุ้มโค้งเข้าไปทำให้เส้นกรอบกระจกด้านบนซ้ายถูกตัดออก ธรรมชาติพิมพ์ฐานแซม มักบานด้านบน พิมพ์นี้ ถือเป็นพิมพ์มาตรฐาน คุ้นตา เทียบเส้นสายได้กับองค์ครูหลายองค์ เส้นกรอบกระจกไม่ปรากฏ เพราะคนตัดขอบตั้งใจตัดตรงตามแนว องค์พระคมชัดปานกลาง ติดหูแซมสองข้าง อกไม่ปรากฏร่อง พระเพลามีเค้าคอดตรงกลาง ส่วนฐานแซมสองเส้น เรียวคมเส้นซุ้มตรงมุมโค้งเนื้อยุบปริแยก นี่ก็อีกหนึ่งธรรมชาติของสมเด็จวัดระฆัง
มาถึงเนื้อหา...ผิวพระขาวอมเหลือง สีงาช้าง เนื้อนี้ครูตรียัมปวาย เรียกเกสรดอกไม้ ละเอียดนุ่มนวล ระดับความหนึกนุ่มชุ่มตาชัดเจน ก้อนขาวก้อนใหญ่ ในผนังระหว่างแก้มซ้ายกับเส้นซุ้ม...ในร่องลึกมีชิ้นรักน้ำเกลี้ยง ด้านหลังมีหลุมร่อง ทั้งที่มีก้อนขาว และทั้งที่ก้อนขาวหลุดไป สลับอยู่กับรอยพรุนรูเข็ม กับฝ้ารักสีเลือดหมูจางๆ ขอบสี่เหลี่ยมสึกมนตามธรรมชาติของการจับต้อง
สรุปได้ สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซมองค์นี้ ระดับความสวยปานกลาง...
ในการพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม นอกเหนือจากเรื่องเนื้อหามวลสาร ลักษณะการตัดขอบพื้นผิวขององค์พระ ร่องรอยปูไต่ เม็ดพระธาตุ และรอยรูพรุนเข็ม ตามแบบฉบับของพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามทุกแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างไปกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ อีก 3 พิมพ์อย่างชัดเจน คือ
เนื้อมวลสารจะมีส่วนผสมต่างๆ มากกว่า
ศิลปะแม่พิมพ์ค่อนข้างตื้นและสะโอดสะองไม่ล่ำสันเหมือนพิมพ์อื่นๆ
พระเกศเรียวแหลมและติดชัดมากกว่า
การสังเกตจุดชี้ตำหนิโดยรวมของพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซม จะต้องใช้ความตั้งใจค่อยๆ ศึกษาพิจารณาจากภาพหรือองค์พระจริงก็คือ จากหัวไหล่ถึงวงแขนขององค์พระทอดวงโค้งอย่างงดงาม องค์พระประธานซึ่งนั่งขัดสมาธิเพชรนั้น ช่วงตรงกลางของสมาธิเพชรจะยุบเข้าเล็กน้อย แต่พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมจะไม่มีรอยยุบ เส้นซุ้มครอบแก้วจะหนาและมีลักษณะเหมือนหวายผ่าซีกเช่นเดียวกับพิมพ์ใหญ่ ซึ่งพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมจะค่อนข้างเล็กกว่าพระกรรณด้านขวาขององค์พระห่างจากพระเศียรและส่วนบนโค้งออกด้านนอก ส่วนพระกรรณข้างซ้ายจะชิดกับพระเศียร แขนด้านขวาขององค์พระจะโค้งหักศอก แขนด้านซ้ายจะโค้งมากกว่าด้านขวา เส้นสังฆาฏิจะวิ่งเป็นเส้นเล็กยาวจรดฝ่ามือและตื้นมาก บางองค์ที่พระติดไม่เต็มจะมองไม่เห็น และบั้นเอวจะผายออก ไม่เหมือนพระวัดบางขุนพรหมซึ่งคอดเข้าเป็นรูปตัววี (V) เส้นแซมใต้ฐานติดไม่ชัดเจนเท่ากับพระวัดบางขุนพรหม เส้นฐานเส้นล่างสุดจะใหญ่ ขอบของหัวฐานเฉียงสู่ฐานล่าง เส้นฐานกลางจะเล็กที่สุด ขอบทั้งสองข้างมีปลายแหลมออกและเฉียงขึ้นบนตัดลงข้างล่างคล้ายขาโต๊ะที่เรียกว่า "ฐานหัวสิงห์" เส้นฐานบนสุดจะใหญ่กว่าเส้นกลางแต่เล็กกว่าเส้นล่าง ปลายทั้งสองด้านเป็นขอบตัดเฉียงขึ้นข้างบนค่อนข้างมนโค้งเข้าด้านในเล็กน้อย ดูเป็นธรรมชาติไม่แข็งทื่อ สัณฐานขององค์พระในองค์ที่ติดเต็มแม่พิมพ์ ด้านบนจะกว้าง ด้านล่างจะสอบเข้า
พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซม ยังสามารถแยกย่อยไปได้อีก คือ พิมพ์ด้านหน้าแบ่งได้เป็น 4 พิมพ์ มี พิมพ์ที่ 1 พิมพ์ที่ 2 พิมพ์ที่ 3 และพิมพ์ที่ 4 ซึ่งจะมีจุดชี้ตำหนิแม่พิมพ์ด้านหน้าที่แตกต่างกันไปแต่ละพิมพ์ดังนี้
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ที่ 1
พื้นนอกซุ้มครอบแก้วจะสูงกว่าพื้นในซุ้มครอบแก้วเล็กน้อย
โคนพระเกศเป็นลำโตกว่าพิมพ์อื่นๆ
มือที่ประสานกันจะเป็นรูปสามเหลี่ยมและชิดกับหน้าตัก
ปรากฏเส้นสังฆาฎิเป็นแผ่นนูน
หัวฐานชั้นที่หนึ่งด้านขวามือขององค์พระจะห่างจากซุ้มครอบแก้ว
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ที่ 2
พระกรรณขวาขององค์พระจะไม่ชิดกับแก้ม ลักษณะปลายพระกรรณจะผายออกคล้ายบายศรี ส่วนพระกรรณข้างซ้ายขององค์พระจะชิดกับแก้ม
ส่วนเอวและลำพระองค์ขององค์พระจะมีลักษณะผายออก
หัวฐานชั้นที่หนึ่ง ทั้ง 2 ด้านจะห่างจากซุ้มครอบแก้ว
ตรงมุมล่างด้านซ้ายขององค์พระ เส้นขอบแม่พิมพ์จะติดชิดกับเส้นซุ้มครอบแก้ว
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ที่ 3 จะมีลักษณะคล้ายพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์ฐานแซม
พระกรรณด้านขวาองค์พระจะเป็นเส้นตรงทั้ง 2 ข้าง
ลำพระองค์เป็นทรงกระบอก
หัวฐานชั้นที่หนึ่ง ด้านซ้ายขององค์พระจะติดกับซุ้มครอบแก้ว
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ที่ 4 จะมีลักษณะคล้ายพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์ฐานคู่
พระกรรณข้างขวาขององค์พระจะอยู่ห่างจากแก้มและเป็นเส้นตรง
พระเกศเรียวเล็กและยาวกว่าพิมพ์ที่ 1
เส้นซุ้มครอบแก้วจะหนาและใหญ่
แขนหักศอกจะตั้งฉากทั้งสองข้าง
ส่วนพิมพ์ด้านหลังมีเพียง 3 พิมพ์เท่านั้น คือพิมพ์หลังสังขยา พิมพ์หลังแผ่นเรียบ และพิมพ์หลังกระดาน เหมือนพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ แต่ไม่มี “หลังกาบหมาก” ดังนั้นการพิจารณาจึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งพิมพ์ด้านหน้าและด้านหลังให้ดีๆนะครับผม
คาถาชินบัญชร สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
ตั้งนะโม 3 จบ >>>
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
พระคาถาชินบัญชร ฉบับย่อ
ชิ นะ ปัญ ชะ ระ ปะ ริ ตัง มัง รัก ขะ ตุ สัพ พะ ทา (ภาวนา 10 จบ)
พระคาถาชินบัญชร ฉบับเต็ม
ก่อนสวดให้นึกถึง หลวงปู่โต พรหมรังสี แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ว่า
ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภธะนัง
อัตถิกาเย กายะ ญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
เริ่มสวดบทพระคาถาชินบัญชร 15 บท
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
คาถาชินบัญชร ควรจะเริ่มสวดในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นวันครูและให้เตรียมดอกไม้ 3 สี หรือดอกบัว 9 ดอก หรือดอกมะลิ 1 กำ จุดธูป 3 5 ถึง 9 ดอก เทียน 2 เล่ม จากนั้นให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยโดยการตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จากนั้นตั้งจิตนึกถึงสมเด็จโต
หากสวดชินบัญชรได้ควรสวดหนึ่งจบ ก่อนที่จะนำพระสมเด็จติดตัวไป ให้ทำดังนี้ เมื่อยกสร้อยขึ้นจะคล้องคอ องค์พระอยู่ในอุ้มมือพนมมือแล้วท่องคาถาอาราธนาดังต่อไปนี้ " โอมมะศรี มะศรี พรมรังสี นามะเตโช มหาสมโณ มหาปัญโญมหาลาโภ มหายะโส สัพพะโสตถี ภะวันตุเม"