พระปิดตาหลวงพ่อฉ่ำ วัดท้องคุ้ง พระเด่นเมืองสมุทรปราการ เปิดบูชาพระปิดตา รวมทั้งพุทธคุณพระปิดคา คาถาพระปิดตา สั่งบูชาพระปิดตาของแท้
พระปิดตา เป็นพระที่เชื่อว่ามีพุทธคุณในเรื่องของเมตตา มหานิยม หากมีการปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ดังๆ บางท่านก็สามารถช่วยป้องกัน แคล้วคลาดจากเรื่องร้ายๆ ได้
พระภควัมปติ หรือ พระปิดตา ในวงการพระเครื่องถือว่ามีพุทธศิลป์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว แสดงออกถึงนัยยะแห่งธรรม และผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า สามารถดลบันดาลโชคลาภ เงินทอง มีกินมีใช้สมบูรณ์พูนสุข
ในทางพระพุทธศาสนา มีการสร้างพระปิดตาโดยพระเกจิคณาจารย์ไว้มากมายตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน ที่โด่งดังมากคือ พระปิดตากรุวัดท้ายย่าน พระปิดตาแร่บางไผ่ หลวงปู่จัน วัดโมลี พระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง พระปิดตาหลวงพ่อทับ วัดทอง พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ พระปิดตาหลวงปู่ศุข พระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก 5 เสือชลบุรี(หลวงพ่อแก้ว หลวงปู่เจียม หลวงพ่อครีพ หลวงพ่อโต หลวงปู่ภู่) พระปิดตาหลวงปู่เฮี้ยง วัดป่า หลวงปู่ภู วัดต้นสนเป็นต้น
พระปิดตาหลวงพ่อฉ่ำ วัดท้องคุ้ง พระเด่นเมืองสมุทรปราการ
หลวงพ่อฉ่ำ คงฺสุวณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดท้องคุ้ง หนึ่งพระเกจิดังของเมืองสมุทรปราการ ผู้เรืองวิทยาอาคมสูง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวสมุทรปราการและใกล้เคียง เป็นพระเกจิร่วมสมัยกับพระเกจิชื่อดังของเมืองปากน้ำอีกหลายรูปอาทิ หลวงพ่ออยู่ วัดบางหัวเสือ, หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว, หลวงพ่อบุตร วัดใหญ่บางปลากด, หลวงพ่อเชยวัดบางกระสอบ และ หลวงพ่อแย้ม วัดด่านสำโรง เป็นต้น วัตถุมงคลของท่านล้วนเป็นที่นิยมสะสมอย่างกว้างขวางในสมัยนั้น โดยเฉพาะ ‘เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ปี พ.ศ.2482’ ซึ่งแม้จะเป็น ‘เหรียญตาย’ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านในปี พ.ศ.2482 แต่ก็เป็นที่ศรัทธายิ่ง อีกทั้งปลุกเสกโดย พระอาจารย์มา วัดโมก และ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว พระเกจิชื่อดังในยุคนั้นอีกด้วย
หลวงพ่อฉ่ำ เป็นชาวบ้านท้องคุ้ง ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง โดยกำเนิด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2400 ในราวสมัยรัชกาลที่ 5-6 เป็นบุตรคนโตของ นายฉิม ฉิมเจริญ ในวัยเด็กเรียนหนังสือไทยกับพระที่วัดท้องคุ้งพออ่านออกเขียนได้ ท่านชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นประจำ บางครั้งก็นอนที่วัดเพื่อศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อสุขและหลวงพ่อจันทร์ ผู้มีวิทยาคมแก่กล้าและเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานในสมัยนั้น ต่อมาเมื่ออายุครบบวชในปีพ.ศ.2420 ได้อุปสมบทที่วัดท้องคุ้ง โดยมี หลวงพ่อสุข วัดท้องคุ้ง เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อจันทร์ วัดท้องคุ้ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ หลวงพ่อปาน วัดท้องคุ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "คงฺสุวณฺโณ" ศึกษาพระธรรมวินัยและรับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อสุขและหลวงพ่อจันทร์ จนหมดสิ้นและแตกฉาน
ท่านจัดสร้างวัตถุมงคลมากมาย เพื่อแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาและผู้มีจิตศรัทธา โดยจะเน้น ตะกรุด เครื่องรางของขลังและพระปิดตาคลุกรักผสมว่านยา อันได้แก่ พระปิดตาหลังเบี้ย พิมพ์เข่าบุ๋มและเข่าตัน พระพิมพ์บัวฟันปลา พระปิดตาพิมพ์เล็ก พระผงกลีบบัว พระผงพิมพ์ลำพูนปรกโพธิ์ และพระปิดตาเนื้อชินตะกั่ว เป็นต้น ซึ่งล้วนปรากฏพุทธคุณเลื่องลือและโดดเด่นในทางด้านเมตตามหานิยม และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
หลวงพ่อฉ่ำ เป็นพระเกจิผู้มีความเยือกเย็น เคร่งครัดพระธรรมวินัย ถือสันโดษ มีเมตตากรุณาธรรมสูงส่ง และโอบอ้อมอารี เป็นที่รักเคารพของสาธุชนอย่างมาก ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2481สิริอายุ 82 ปี
กระแสวัตถุมงคลหลวงพ่อฉ่ำมาพุ่งแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะ “พระปิดตา” เมื่อคราว พระครูวิบูลย์ปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดท้องคุ้ง จะทำการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะและสร้างถาวรวัตถุภายในวัด จึงจำเป็นต้องขยับขยายพื้นที่ ได้ทำการเจาะพระปรางค์ 2 องค์ บริเวณหน้าวัด ซึ่งหลวงพ่อฉ่ำได้สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ.2457 เพื่อนำพระพุทธรูป พระเครื่อง ตลอดจนอัฐิของหลวงพ่อที่บรรจุไว้ ออกมาเก็บรักษา ปรากฏพบทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ พระแก้วใสวรรณะสีเขียวแบบมรกต และพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ “พระปิดตา” ซึ่งโดยปกติได้รับความนิยมและเล่นหากันในแวดวงนักนิยมสะสมอย่างกว้าวขวางอยู่แล้ว ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังทางด้านแคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี แสดงว่า สมัยที่ท่านยังมีชีวิตและสร้าง “พระปิดตา” นั้น ท่านได้แบ่งส่วนหนึ่งแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาและอีกส่วนหนึ่งบรรจุไว้ในกรุ เพื่อเป็นการสืบทอดพระศาสนา การแตกกรุของ “พระปิดตาหลวงพ่อฉ่ำ” ในครั้งนี้จึงเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก
พระปิดตาหลวงพ่อฉ่ำ ที่ปรากฏ เป็นพระเนื้อผงคลุกรัก ประกอบด้วย ผงใบลานคลุกด้วยดิน ว่าน และเกสร โดยมีรักเป็นตัวประสาน และเป็นพระที่ไม่ได้ผ่านการเผาที่เรียกกันว่า “เนื้อดินดิบ” แต่มีความแกร่งพอควร สีขององค์พระจะออกน้ำตาลปนดำ มีเนื้อละเอียดและหนึกนุ่มมาก แบ่งได้เป็น 2 พิมพ์ คือ “พิมพ์เข่าบุ๋ม” และ “พิมพ์เข่าตัน” ซึ่งจะแตกต่างกันที่พระชานุหรือเข่าตามชื่อพิมพ์นั่นเอง
พระปิดตาความจริงไม่มีชื่อนี้ แต่มักนิยมเรียกกันมานานจนชินปาก “พระปิดตา”ลักษณะขององค์พระท่านเป็นการยกพระหัตถ์ ปิดพระพักตร์ มิใช่ยกพระหัตถ์ปิดพระเนตร(ตา) แต่ปิดรวม ตา หู จมูก ปาก และดวงหน้าซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของกาย ส่วนใจเป็นนามก็ปิดโดยสมมุติ นับเป็นอาการสำรวมอายตนะ 6 ประการ โดยหลักๆพระปิดตาจะมีทั้งหมด 3 ประเภท
1.พระปิดตา ชนิดปิดตานั่งยองความหมายเดิมคือพระโพธิสัตว์เจ้าในพระครรภ์ เรียกว่าพระมหาอุด หรือเป็นพระปิดทวารทั้งเก้าเต็มภาค ไม่มีคำเรียกอย่างอื่น
2.พระปิดตา ชนิดปิดตานั่งขัดสมาธิยกหัตถ์ปิดทวารทั้งเก้า ความหมายเดิมคือพระเจ้าเข้านิโรธ ควรใช้ศัพท์เรียกว่า“ภควัม”ไม่มีคำว่าพระนำหน้าและไม่มีคำบดีหรือปติตามหลัง จะเรียกภควันต์ก็ไม่ได้ เพราะคำศัพท์หมายถึงพระอิศวรหรือนามแห่งพระพุทธเจ้า ภควัม ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานหมายความถึงพระปิดทวารทั้งเก้าปิดตาคว่ำพระพักตร์ จนมีคำพังเพยว่า”หน้าคว่ำเป็นภควัมเจียวนะ”หมายถึงสาวแสนงอน มองไปหลายตลบ ก็ไม่พบพระปิดตาหน้าคว่ำคำราชบัณฑิตหมายถึง ผู้แปลบาลีท่านจะเป็นนักพระเครื่องด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
3. พระปิดตา ชนิดปิดตานั่งขัดสมาธิ ยกหัตถ์ทั้งสองขึ้นปิดพระพักตร์ เว้นส่วนอื่น เป็นพระเมตตามหานิยมและลาภผลเรียกว่า “พระควัมปติ”พระปิดตาทั้ง๓ชนิดมีทั้งฝ่ายบู้ ฝ่ายบุ๋น
ความหมายมิได้คล้ายคลึงกันเลย ยังมีบุคคลบางท่านเข้าใจผิดคิดว่าเป็นประเภทเดียวกัน จำต้องสังคายนาให้เห็นชัดสักครั้ง เพราะมิผู้นิยม”พระปิดตา”กันมาก
ส่วนพระคาถาที่มีนิยมใช้อาราธนาพระปิดตา นะโมพุทธัสสะ คะวัมปะติสสะ นะโมธัมมัสสะ คะวัมปะติสสะ นะโมสังฆัสสะ คะวัมปะติสสะ